คุณเคยเจอสถานการณ์นี้ไหมครับ/คะ? คุณทุ่มเทจ้างนักออกแบบมือฉมัง สร้างสรรค์งาน Standee (ป้ายตั้งพื้น) มาอย่างสวยงามตระการตา ใช้ภาพถ่ายพรีเซนเตอร์ที่คมชัดที่สุด แต่พอป้ายไปตั้งหน้างานจริง… มันดูเล็กจิ๋วผิดที่ผิดทาง จนลูกค้าเดินผ่านไปราวกับมองไม่เห็น หรือไม่ก็ ใหญ่ยักษ์เกินความจำเป็น จนเกะกะทางเดิน พาลทำให้ลูกค้าหงุดหงิด!
ความจริงที่นักการตลาดหลายคนมองข้ามคือ: ขนาดของ Standee ไม่ได้มีไว้แค่ “ให้มองเห็น” แต่มันคือ “กลยุทธ์เชิงพื้นที่” (Spatial Strategy) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “สื่อสาร” ในระยะทางและบริบทที่แตกต่างกัน การเลือกขนาดผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ข้อความสำคัญของคุณถูก “ตัดออก” จากการรับรู้ของลูกค้าไปเลย!
นี่คือเหตุผลที่ผมต้องมาเปิดคัมภีร์ขนาด Standee ยอดนิยมในท้องตลาดวันนี้ เราจะไม่ได้แค่รู้ตัวเลข แต่เราจะรู้ “เหตุผล” เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้น และแนะนำวิธีเลือกไซส์ที่เหมาะสมกับ “ภารกิจ” และ “พื้นที่” ของคุณ เพื่อให้ Standee ของคุณทำหน้าที่เป็น “พนักงานขายเงียบ” ที่มีประสิทธิภาพที่สุด, สร้างจุดสนใจ, และปิดการขายได้อย่างไร้ที่ติ!
หลักการพื้นฐาน การมองเห็นและระยะห่าง (The Visibility Rule)
ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกขนาดมาตรฐาน คุณต้องเข้าใจหลักการสำคัญนี้ก่อน Standee มีประสิทธิภาพแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ “ระยะห่าง” ที่ลูกค้าจะมองเห็นและมีเวลาประมวลผลข้อมูล
1. กฎของระยะการมองเห็น 3 วินาที (The 3-Second Rule)
ในโลกที่มีสิ่งเร้ามากมาย ผู้บริโภคที่เดินผ่านไปมามีเวลาจำกัดมากในการมองโฆษณา Standee ที่ดีต้องสามารถดึงดูดความสนใจและสื่อสารข้อความหลักได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 วินาที
- ขนาดมีผลต่อความเร็วในการอ่าน: หาก Standee เล็กเกินไปในพื้นที่กว้าง คนขับรถ, หรือคนที่เดินผ่านไปเร็วๆ จะไม่มีเวลาประมวลผลข้อความ ทำให้คุณเสียโอกาสไปฟรีๆ Standee ขนาดใหญ่ช่วย “บังคับ” ให้ลูกค้าหยุดมองได้นานขึ้น
- การจัดลำดับความสำคัญของข้อความ: ไม่ว่าขนาดไหน ข้อความบน Standee ต้องมี Hero Message (ข้อความหลัก) ที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาคือ Sub-Message (รายละเอียด) และสุดท้ายคือ CTA (Call-to-Action)
2. การกำหนดจุดประสงค์และสถานที่ (The Mission & Location)
Standee ของคุณถูกสร้างมาเพื่ออะไร? นี่คือการกำหนดขนาดโดยอิงจาก “ภารกิจ”
| ภารกิจของ Standee | สถานที่ตั้ง (Location) | ขนาดที่แนะนำ (Size Priority) |
| เพื่อเรียกลูกค้าเข้า (Call-to-Entry) | หน้าทางเข้า, งานอีเวนต์, โถงต้อนรับ | XL (80×180 ซม. ขึ้นไป) |
| เพื่อส่งเสริมการขาย (Point-of-Sale / POS) | ข้างชั้นวางสินค้า, หน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ | L (60×160 ซม.) |
| เพื่อบอกข้อมูล/เมนู (Informative) | บนโต๊ะอาหาร, บริเวณรับรอง, มุมแคบ | S – M (A3 – 50×120 ซม.) |
| เพื่อสร้างภาพลักษณ์ (Branding) | งานแสดงสินค้าขนาดใหญ่, จุดถ่ายภาพ (Photo Booth) | XL (100×200 ซม. ขึ้นไป) |
ถอดรหัสขนาด Standee ยอดนิยม 4 ระดับ (The Standard Sizes Decoded)
ในตลาดงานพิมพ์ไทย มีขนาด Standee ยอดนิยมที่โรงพิมพ์ส่วนใหญ่มักแนะนำ ซึ่งแต่ละขนาดถูกออกแบบมาสำหรับ “พื้นที่และบทบาท” ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
1. 🥇 ระดับ L: ขนาดทองคำ (The Golden Size)
ขนาดที่พบบ่อย: 60 x 160 ซม.
นี่คือ “ขนาดทองคำ” (Golden Size) หรือม้าใช้งานของวงการพิมพ์โฆษณา เพราะมันคือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการมองเห็นและความสะดวกในการจัดการ
- บทบาทหลัก: โฆษณาโปรโมชั่นหลัก, ป้ายเมนู, ป้ายข้อมูลสินค้าที่เน้นข้อความไม่เกิน 50 คำ, ป้ายตั้งข้างประตูร้านกาแฟหรือ Kiosk
- ทำไมต้องขนาดนี้:
- สมดุล (Ideal Balance): สูงพอที่จะโดดเด่นและอยู่ในระดับสายตาเฉลี่ยของคนไทย แต่ไม่กว้างจนกินพื้นที่มากเกินไป ทำให้สามารถจัดวางได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่
- การขนย้าย: ง่ายต่อการม้วนเก็บ (หากเป็น Roll Up) และขนย้ายด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลหรือมอเตอร์ไซค์
- ข้อควรระวัง: หากวางในพื้นที่ที่มีป้ายโฆษณาอื่น ๆ จำนวนมาก (เช่น ทางเดินในห้าง) อาจต้องอาศัยการออกแบบที่ดึงดูดใจเป็นพิเศษ มิฉะนั้นอาจดูจมได้ง่าย
2. 🔥 ระดับ XL: ยักษ์ใหญ่ดึงดูดสายตา (Big Impact, Far Reach)
ขนาดที่พบบ่อย: 80 x 180 ซม. และ 100 x 200 ซม.
นี่คือ “นักรบแถวหน้า” ที่ต้องการดึงดูดความสนใจจากระยะไกลและในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น
- บทบาทหลัก: ป้ายต้อนรับ, ไดคัทเท่าคนจริง, แบคดรอปขนาดเล็ก, ป้ายประกาศหลักของงานอีเวนต์
- ทำไมต้องขนาดนี้:
- ความสูงเหนือมนุษย์: ขนาด 80×180 ซม. เป็นความสูงที่โดดเด่นและเหนือกว่าระดับสายตาของคนทั่วไป ทำให้ข้อความของคุณ “โผล่พ้น” ผู้คนในงานแฟร์ได้ง่าย
- ความสมจริง: จำเป็นสำหรับการทำ Standee ไดคัท “เท่าคนจริง” ซึ่งดึงดูดลูกค้าให้มาถ่ายภาพ (UGC Marketing) ได้ดีที่สุด
- ข้อควรระวัง:
- ความมั่นคง: ต้องใช้ขาตั้งที่มั่นคงเป็นพิเศษ (ขาตั้งเหล็ก หรือฐานเติมน้ำ) เพราะมีโอกาสล้มสูงหากโดนลมหรือโดนชน
- ค่าใช้จ่าย: มีต้นทุนการผลิตสูงที่สุด และมีค่าขนส่งที่สูงกว่าขนาดเล็ก
3. 💡 ระดับ M: ป้ายเสริมการขาย (The POS Booster)
ขนาดที่พบบ่อย: 50 x 120 ซม. และ 50 x 150 ซม.
ขนาดนี้มีไว้เพื่อ “สื่อสารในระยะเผาขน” คือจุดที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจซื้อแล้ว
- บทบาทหลัก: ป้ายโฆษณาตามช่องทางเดิน, ป้ายเน้นโปรโมชั่นพิเศษที่มีระยะเวลาจำกัด, ป้ายเมนูย่อย
- ทำไมต้องขนาดนี้:
- แทรกซึม: ด้วยความกว้างที่ไม่เกิน 50 ซม. ทำให้สามารถสอดแทรกไปตามช่องว่างระหว่างชั้นวางสินค้า, บริเวณแคชเชียร์, หรือหน้าร้านค้าที่มีพื้นที่จำกัดได้
- เน้น CTA: เหมาะสำหรับการใส่ข้อความที่ต้องการให้ลูกค้าทำทันที เช่น “ซื้อ 2 แถม 1 วันนี้เท่านั้น”, “รับส่วนลดพิเศษ”
- ข้อควรระวัง: ต้องวางในจุดที่ลูกค้าต้องเดินผ่านในระยะประชิด (ไม่เกิน 3 เมตร) ไม่เหมาะสำหรับป้ายที่ต้องการมองเห็นจากระยะไกล
4. ✨ ระดับ S: มินิสแตนดี้ตั้งโต๊ะ (The Detail Communicator)
ขนาดที่พบบ่อย: A3 (29.7 x 42 ซม.)
นี่คือ Display Unit ที่วางบนพื้นผิว ถูกออกแบบมาเพื่อการสื่อสารข้อมูลเชิงลึก
- บทบาทหลัก: ป้ายโปรโมชั่นบนโต๊ะ, ป้าย QR Code, ป้ายบอกรายละเอียดสินค้า, ป้ายสำหรับลงทะเบียน
- ทำไมต้องขนาดนี้:
- ความใกล้ชิด: ใช้สำหรับข้อความสั้นๆ ที่ลูกค้ามีเวลาหยุดดูนานขึ้น เช่น ขณะรอคิวหรือนั่งอยู่ที่โต๊ะ
- ความประหยัด: ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดและมักใช้วัสดุพรีเมียมอย่างอะคริลิกเพื่อความหรูหรา
กลยุทธ์การเลือกขนาด Standee ที่เหนือกว่าแค่ตัวเลข
การตัดสินใจที่ดีที่สุดไม่ได้มาจากการเลือกขนาดที่ “ใหญ่ที่สุด” แต่คือการเลือกขนาดที่ “ฉลาดที่สุด” โดยคำนึงถึงบริบท 3 มิติ
1. การวิเคราะห์พื้นที่เชิงลึก (The Spatial Analysis)
ก่อนสั่งทำ คุณต้องลงพื้นที่จริงและตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้:
- ความแออัดของพื้นที่ (Crowd Density): ถ้าเป็นงานที่มีคนเยอะและของเยอะ (เช่น งานแฟร์) ขนาด XL จะช่วยให้ป้ายคุณ “โผล่พ้น” เหนือศีรษะผู้คนได้ แต่ถ้าทางเดินแคบ (ต่ำกว่า 2 เมตร) การใช้ Standee กว้างเกิน 60 ซม. อาจทำให้ลูกค้าเดินไม่สะดวก เลือกความสูงมากกว่าความกว้าง!
- สภาพแสงและฉากหลัง (Lighting & Background): หากฉากหลังของ Standee มีสีสันสดใส การเลือกขนาดที่ใหญ่ขึ้น (L หรือ XL) อาจจำเป็นเพื่อ “เอาชนะ” การแข่งขันทางสายตา
2. กฎทองของขนาดตัวอักษร (The Typography Scaling)
Standee ขนาดใหญ่ยักษ์ก็ไร้ความหมาย หากตัวอักษรเล็กเกินไป นักออกแบบมืออาชีพจะใช้หลักการนี้:
หลักการ: หาก Standee สูง 180 ซม. และวางในระยะ 5 เมตร ข้อความหลัก (Headline) ควรมีความสูงของตัวอักษรอย่างน้อย $10 – 15$ ซม. เพื่อให้อ่านได้อย่างง่ายดายและชัดเจนใน 3 วินาทีแรก
3. การออกแบบสำหรับ Standee ไดคัท (Die-Cut Standee Strategy)
Standee ไดคัทเป็นเครื่องมือสร้างไวรัลที่ดีที่สุด แต่ต้องระวังเรื่องขนาดและความแข็งแรง
- ความสูง (Heigh): ควรใช้ขนาดเท่าคนจริง (170-180 ซม. ขึ้นไป) เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือและเหมาะสมสำหรับการเป็น “จุดถ่ายภาพ”
- ความมั่นคง (Stability): เนื่องจาก Standee ไดคัทมีจุดศูนย์ถ่วงไม่แน่นอน ควรทำจากวัสดุ PP Board หนา 5 มม. และใช้ ขาตั้งเหล็ก (ถ้าขนาดใหญ่) หรือขาตั้งปีกผีเสื้อที่แข็งแรงเพื่อป้องกันการโค่นล้ม
การบริหารต้นทุนรวม (Total Cost of Ownership – TCO)
การเลือกขนาดและวัสดุที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณเสียเงินมากกว่าที่คิดในระยะยาว
1. การเปรียบเทียบ TCO ระหว่าง Roll Up, X-Stand และ Standee PP Board
| ประเภท | ขนาดพบบ่อย | TCO ต่ำ-สูง | จุดเด่นของต้นทุน |
| Roll Up Banner | 80×200 ซม. | ต่ำ (ถ้าเปลี่ยนกราฟิกบ่อย) | ลงทุนโครงสร้างครั้งแรก, ประหยัดค่าพิมพ์ซ้ำ (เปลี่ยนแค่แผ่นพิมพ์), ขนส่งง่าย |
| X-Stand | 60×160 ซม. | ต่ำมาก | ราคาถูกที่สุด, เหมาะกับการใช้ครั้งคราว, เปลี่ยนกราฟิกง่าย |
| Standee PP Board | 60×160 ซม. | ปานกลาง-สูง | ดูเป็นมืออาชีพ, ต้องพิมพ์และไดคัทใหม่ทั้งชิ้นเมื่อเปลี่ยนข้อความ, แต่ทนทานกว่า Roll Up/X-Stand ในพื้นที่ที่มีการสัมผัส |
2. วัสดุที่สัมพันธ์กับขนาดและความทนทาน
- Standee XL (ใหญ่): แนะนำ PP Board หนา 5 มม. หรือ พลาสวูด เพื่อความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน
- Standee L/M (กลาง): มักใช้ PP Board 3-5 มม. ที่น้ำหนักเบาและราคาไม่สูงจนเกินไป
Case Study การใช้ขนาด Standee ในแต่ละอุตสาหกรรม (ขยายผล)
มาดูตัวอย่างการประยุกต์ใช้ขนาดในโลกธุรกิจจริงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ:
1. อุตสาหกรรม F&B (ร้านอาหารและเครื่องดื่ม)
- หน้าประตูร้าน: ใช้ Roll Up ขนาด 80×200 ซม. เพื่อแสดงเมนูแนะนำประจำวัน หรือโปรโมชั่นชุดใหญ่ เพราะง่ายต่อการม้วนเก็บเมื่อปิดร้าน
- บนโต๊ะอาหาร: ใช้ Mini Standee A3/A4 อะคริลิก เพื่อแสดง QR Code สำหรับสั่งอาหาร, หรือโปรโมชั่นเครื่องดื่มที่เน้นสีสันสะดุดตา
- ข้างเคาน์เตอร์แคชเชียร์: ใช้ Standee PP Board 50×120 ซม. เน้นโปรโมชั่นสินค้า Quick Buy (เช่น ขนมขบเคี้ยว หรือกาแฟแก้วที่สอง)
2. อุตสาหกรรม Retail (สินค้าแฟชั่น/เครื่องสำอาง)
- หน้าร้านในห้าง: ใช้ Standee ไดคัทพรีเซนเตอร์ขนาด 180-200 ซม. เพื่อดึงดูดลูกค้าและเป็นจุดถ่ายรูป (Instagrammable Spot)
- ข้างราวแขวนสินค้า: ใช้ Standee 40×120 ซม. เพื่อกระตุ้นการซื้อในนาทีสุดท้าย เช่น “ซื้อ 2 ชิ้น ลด 30%”
- บนชั้นวาง: ใช้ Mini Standee A4 แสดงคุณสมบัติเด่นของผลิตภัณฑ์เฉพาะรุ่น (Feature Highlight)
3. อุตสาหกรรม Event & Exhibition (งานแสดงสินค้า)
- บูทขนาดเล็ก (3×3 เมตร): เน้น Roll Up Banner ขนาด 60×160 ซม. 2-3 ตัว เรียงกัน เพราะประหยัดพื้นที่และน้ำหนักเบา
- บูทขนาดใหญ่ (6×6 เมตรขึ้นไป): ใช้ Standee PP Board ขนาด 100×200 ซม. เพื่อเป็นป้ายหลัก หรือป้ายชี้ทางเข้าบูท เพราะให้ความมั่นคงและดูหรูหรากว่า
การเลือกขนาด Standee ที่เหมาะสมคือการผสมผสานระหว่างความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค (Human Behavior), การวิเคราะห์พื้นที่ (Spatial Design), และการบริหารจัดการงบประมาณ (Cost Management)
อย่าเลือกขนาดตามความชอบส่วนตัว หรือตามที่โรงพิมพ์มีในสต็อก แต่จงเลือกตาม “เป้าหมายทางการตลาด” ของคุณ! จงถามตัวเองเสมอว่า: “Standee นี้ต้องทำหน้าที่อะไร?” และ “ลูกค้าจะมองเห็นมันในบริบทแบบไหน?”
Standee ที่ดีไม่ได้หมายถึง Standee ที่ใหญ่ที่สุด แต่มันคือ Standee ที่ “เหมาะสม” ที่สุดกับบริบทนั้นๆ ทำให้ข้อความของคุณถูกสื่อสารออกไปอย่างชัดเจน, ตรงจุด, และสร้างยอดขายได้จริง! หากคุณเข้าใจพลังของขนาดอย่างถ่องแท้ คุณก็พร้อมที่จะเปลี่ยนป้ายตั้งพื้นธรรมดาให้กลายเป็น เครื่องมือทางการตลาดสุดเฉียบ ที่ดึงดูดลูกค้าได้อย่างที่ใจคุณต้องการแล้ว!
PIM 24 โรงพิมพ์อุปกรณ์ออกบูธ เพื่อใช้ในงานโฆษณาแบบครบวงจร
โรงพิมพ์อุปกรณ์ออกบูธ งานพิมพ์ผ้า งานพิมพ์ Inkjet งานพิมพ์ Digital Offset งานพิมพ์ Offset กล่องแพ็คเกจจิ้ง สั่งผลิตจำนวนมาก ราคาพิเศษ เพื่อใช้ในงานการตลาดการขายและโฆษณาแบบครบวงจร
ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ออกบูธคุณภาพ เช่น การทำ แบคดรอปผ้า (backdrop ผ้า), โรลอัพผ้า (roll up), กล่องไฟผ้า (fabric lightbox), เคาน์เตอร์ผ้า (fabric counter), ธงญี่ปุ่น (J-Flag), กล่องลูกฟูก, ฉลากสินค้า, กล่องแพ็คเกจจิ้ง ครบวงจรราคาดีที่สุด ผลิตเร็ว ราคาถูก ส่งรวดเร็ว คุณภาพมาตรฐานระดับสากล
สนใจสอบถามสินค้า >>> https://lin.ee/5CenwJj
โทร. ติดต่อฝ่ายขาย
081-247-3560 (Sale ใหม่)
081-247-3564 (Sale มด)
081-247-3565 (sale ตั้ม)
081-247-3562 (sale เอิร์ธ )


